“ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ หลังรายงานผลประชุม FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เพื่อยุติเงินเฟ้อ-ล่าสุดบอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปีพุ่งแตะ 1.7% ดัชนี VIX Index กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง 15% สะท้อนความกังวลถึงสภาพคล่องลดลง ขณะที่ “โอไมครอน” ทำให้ไทยเข้าสู่การระบาดระลอก 5 หากยังอยู่เหนือ 1,660 จุด จะยังไม่เสียทรงทางขาขึ้น

วันที่ 6 มกราคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้มีแนวโน้มปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศและภูมิภาค หลังทราบรายงานผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) รอบเดือน ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา มีสัญญาณชี้ชัดจากคณะกรรมการเฟดถึงทิศทางการใช้นโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดรุนแรงขึ้น

โดยรายงานการประชุม FOMC เดือน ธ.ค. 2564 บ่งชี้ชัดว่าเฟดเตรียมใช้นโยบายซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายมั่นใจได้ทางการเงินแบบเข้มงวดรุนแรงขึ้นด้วยการเพิ่มปริมาณการทำ QE Tapering เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน เพื่อยุติการทำ QE ในเดือน มี.ค. 2565 ก่อนที่จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นรุนแรงและตลาดการจ้างงานสหรัฐใกล้ฟื้นตัวเต็มที่

แต่ที่ตลาดกังวลมากที่สุดคือท่าทีของเฟดที่ส่งสัญญาณลดขนาดงบดุลหลังการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยการลดขนาดการถือพันธบัตรและ MBS มูลค่ากว่า 8.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มี.ค. 2565

นั่นหมายถึงการลดขนาดงบดุลน่าจะเกิดขึ้นประมาณช่วงไตรมาส 2 หรือ 3 ของปีนี้ ส่งผลให้ล่าสุดตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อคืนนี้ปรับตัวลงแรงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 1.7% ขณะที่ VIX Index กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งราว 15% จากวันก่อน สะท้อนความกังวลถึงสภาพคล่องที่จะลดลง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปัจจัยเงินเฟ้อเป็นความเสี่ยงหลักของปีนี้ กลุ่มธนาคารและประกันภัยจะรับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วนกลุ่มที่คาดจะเสียประโยชน์ ได้แก่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่อัตราการเติบโตที่สูงในช่วงก่อน

ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนทำให้ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดระลอกที่ 5 อย่างเป็นทางการหลังจำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง จึงคาดว่าเช้านี้ SET Index จะแกว่งตัวอิงทางลงลดความร้อนแรงลงจาก 2 วันทำการแรกของปีนี้มาอยู่ในกรอบระหว่าง 1,660-1,680 จุด ทั้งนี้หากยังอยู่เหนือ 1,660 จุด จะยังไม่เสียทรงทางขาขึ้นและจะเป็นการพักเพื่อขึ้นต่อหลังตอบรับปัจจัยต่าง ๆ ไปแล้ว

โดยกลยุทธ์การลงทุน มองหุ้นรับประโยชน์สถานการณ์โควิด (CHG) หรือ Work From Home จะได้รับความสนใจมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่เล่นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบให้อาศัยจังหวะการย่อตัวเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรในรอบถัดไป

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจน่าติดตามวันนี้ รอติดตามดัชนีภาคบริการของสหรัฐ-จีน ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย